ข้อมูลเบื้องต้น
โหน่ง ! ตื่นเร็ว ๆ ลูก รีบลุกขึ้นมา พ่อเรียกไปให้ทำงานแล้ว...
เสียงเรียกของแม่ที่ ปลุกเขา...เสียงที่เขาได้ยินมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี...เสียงที่มันจี้ลึกเข้าไปถึงโสตประสาท... ความเครียดที่พึ่งหายไปจากการหมดสติเวลาหลับได้กลับมาอีกครั้ง.....
โหน่งเป็นลูกชายคนโต เกิดมาในยุคที่แสนอัตคัดของครอบครัว พ่อแม่ของเขาแม้ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงตัวโหน่งว่าจะได้รับความสะดวกสบายอะไรไหม ไม่เลย...ไม่มีเลย...
พ่อของโหน่ง ทำอาชีพรับจ้างทั่วไป งานที่พ่อรับทำมาแต่ละอย่างนั้น ถ้าจะว่าไป มันเกินกว่าการจะทำคนเดียวให้เสร็จได้ แล้วครอบครัวโหน่งยากจนขนาดนั้น เรื่องที่จะจ้างลูกน้องมันก็คือฝันกลางวัน...ใครละจะต้องทำ.... ก็โหน่งนั่นเอง...แรงงานฟรีประจำบ้าน...
โหน่งเป็นเด็กขยันและรักแม่มาก แม้เขาจะไม่ได้เรียนหนังสือแต่เขาก็มีฝีมือทางช่างพอตัว เรื่องงานช่างเขาทำได้หมด จะตัดเหล็ก ขัดเจียร ทาสี เชื่อม..ไปจนถึงงานแบกหาม... โหน่งเหมาเรียบ สบายมาก..
แต่กว่าเขาจะมีฝีมือขนาดนี้มันก็ไม่ได้มาจากการเข้าโรงเรียนsinvสถาบันอบรมใด ๆ แต่มันเกิดจากการสั่งสอนของครูชีวิต ที่ขยันคอยติวเข้ม โหน่งอยู่ทุกวัน คุณครูชั้นดีที่ฝึกคนจากความเจ็บปวด เห็นได้จากแผลเต็มตัวเป็นเครื่องยืนยัน.. จะแผลเป็นจากรอยบาดของเหล็ก แผลไหม้จากเหล็กหลอมเหลวเวลาเชื่อม เห็นเป็นรอยกระดำกระด่าง ทั้งขาสองข้าง มือทั้งสองมือของเขา...
โดยพ่อของโหน่งจะรับงานเป็น จ๊อบ ๆ ไป และมันเยอะเสียจน เขาจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อที่จะลุกช่วยพ่อกับแม้ทำทั้งวัน งานเป็นนับร้อย ๆ ชิ้น ภายใต้แรงงานครอบครัวที่มีแค่แม่กับพ่อ โหน่งและน้องสาว... งานทั้งหลานก็ต้องมีกำหนดส่ง เพราะฉะนั้นในเวลาจำกัด มันจึงเป็นงานที่แสนเหนื่อยและกดดันเหลือเกิน...และมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ แต่พ่อของโหน่งไม่เคยคิดแบบนั้น...
ทันใดนั้นเอง...
โคร่ม...!!! เสียงทำลายข้าวของ ของพ่อที่กำลังโมโหแบบไฟออกหูจากการเจองานที่โหน่งทำผิดพลาด เสียงก่นด่า สบถ ที่ดังลั่นไปทั้งบ้าน..
ในใจของโหน่งนั้น คิดได้แค่ว่า.... นี่คือเสียงของสิ่งใดหนอ... ทำไมได้ยินแล้วมันเจ็บปวดทรมานเข้าไปสุดขั้วหัวใจ...น้ำตาของเด็กน้อยไหลออกมาเพื่อระบายความคับแค้น เสียใจ... คงเป็นกลไกธรรมชาติเดียวที่ธรรมชาติจะช่วยโหน่งได้ ณ เวลานี้...
ที่โหน่งทำงานทุกวันนี้ เขาทำไปเพราะไม่มีทางเลือก เขายังเด็กนัก ที่จะออกไปผจญโลกภายนอก การทำงานของเขาก็คือการทำงานแลกที่อยู่ ที่กิน น้ำ ไฟฟ้า ในเรื่องของเงินนั้น โหน่งจะได้รับก็ต่อเมื่อพ่อเมาแล้วพลิกขั้วเป็นคนใจดี เท่านั้น...
โดยพ่อของโหน่งก็เป็นเช่น ดั่งชายไทยร่วมสมัยทั่วไป ที่ชอบร่ำสุราเป็นที่ 1 อาการติดสุราเรื้องรังของพ่อโหน่งนั้นถึงขั้นที่ว่า ต้องกินทุกวัน ถ้าไม่มีเงินนะเหรอ... สบายมาก ! อะไรที่มันพอหยิบขายได้ อย่างถังแก็สเอย หม้อหุงข้าวเอย ถ้ามันเปลี่ยนเป็นเหล้าได้ละก็คุ้ม...
จึงไม่ต้องสงสัยว่า ครอบครัวโหน่งจะลืมตาอ้าปากได้เมื่อไหร่ แม้พ่อกับแม่เขา จะจำทำงานมากแค่ไหน มันก็หมดไปกับค่าเที่ยว ค่าเหล้า ค่าแต่งรถคันสวยของพ่อ ไปเพียงเท่านั้น.... โหน่งคิดติดตลกไว้ว่า วันที่เขาจะลืมตาอ้าปากได้นั้นก็คงเป็นตอนที่เขาตายแล้ว ตอนที่เขานอนลืมตาแบบคนมีห่วงและปากที่อ้าจากความไร้วิญญาณ.... นั่นแหละ คือวันที่เขาได้ลืมตาอ้าปากแล้ว....
ช่วงเวลามีความสุขของโหน่งก็มีนะไม่ใช่ไม่มี ความสบายของโหน่ง คือตอนที่เขาได้ล้มตัวลงนอน ในห้องเก่า ๆ ที่พอกางมุ้งแล้วมันกลายเป็นสถานที่เหมือนสวรรค์ เขาจะนอนบนเสื่อเก่า ๆ แล้วใช้แสงสลัว ๆ จากหลอดนีออน อ่านหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ เล่มละ 10 บาท ที่มีอยู่ 6-7 เล่ม ที่เขาเก็บเงินซื้อเวลาพ่อให้มาตอนมา เขาจะเอามานอนอ่านอย่างเพลิดเพลิน แล้วก็ใช้อ่านซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น แล้วก็ผลอยหลับไปจากความเหน็ดเหนื่อยประจำวัน... โอ...ความสุขของโหน่งทำไมเยอะแบบนี้หละ...
จากการประสบพบเจอเรื่องราวแบบนี้ในทุก ๆ วันกับจิตใจของเด็กน้อยอายุย่าง 13 ปี มันทำให้เขาเห็นทุกข์ในโลกนี้มากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว.... เขามองไปทางไหนไม่เคยได้อินกับบรรยากาศใด ๆ ในใจมีแต่ความว่างเปล่า ความเครียด ความเหงา ความเสียใจในตัวตนและโชคชะตา..
วันหนึ่ง วันที่โหน่งต้องไปช่วยพ่อทำงานนอกบ้าน...ตอนนั้นพ่อเขาลืมไขควงไว้ที่บ้าน... ทำยังไงดีละ งานที่มาทำนอกบ้านนั้นก็ไกลจากบ้านของเขามากเสียด้วย โหน่งกลัวพ่อจะอารมณ์เสียเขาจึงรีบอาสาวิ่งไปซื้อให้ที่ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ก่อสร้างหน้าปากซอย ที่ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร .... พ่อเขายื่นเงินให้ด้วยอารมณ์หงุดหงิด โหน่งรีบรับเงินมาแล้ววิ่งอย่างไว เพราะกลัวพ่อเขาจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้...
เขาวิ่ง ๆ ๆ อย่างเหนื่อยหอบตามประสาคนลนลาน พอซื้อไขควงให้พ่อเขาได้สำเร็จ ก็วิ่งกลับ เขาที่กำลังกำเงินทอนในมือ และด้วยความไม่ระวังแบงค์ก็หลุดและปลิวไปด้วยแรงลมปะทะ...
โหน่งรีบพุ่งไปเก็บอย่างไม่คิดชีวิตเพราะเขาเรารู้ว่าเงินนี้ถ้ามันหายไป ความหายนะ คงบังเกิดกับเขาแน่...
ความวุ่นวายใจ ความฟุ้งซ่าน ความเครียด ความกังวล ความเหนื่อย... อกุศลกรรม... ทำให้เขาไม่ได้คิด ไม่ได้สนสิ่งใด ทั้งหมด เขาพุ่งไปกลางถนนตาม แบงค์นั้น มันพาร่างของโหน่งพุ่งไปปะทะกับรถที่วิ่งอยู่ด้วยความเร็วแรง... ตัวเขากระเด็นไปจากที่เกิดเหตุไม่ต่ำกว่า 10 เมตรได้ ร่างกายแหลกไปครึ่ง สมองแตก โหน่งตายในทันที....
ช่วงเวลาที่โหน่งคิดไว้มาถึงแล้ว... ช่วงเวลาที่มีแห่งการลืมตาอ้าปากของเขา... เขาจะรู้ไหมว่ามันมาถึงไวกว่าที่คิดไว้มากนัก....
จบบริบูรณ์
ความคิดเห็น